หลากหลายข้อสงสัย พบกับคำตอบและข้อมูลด้านประกันภัยได้ที่นี่
มีส่วนลดสำหรับการประกันภัยรถยนต์ การให้ส่วนลดกลุ่มสำหรับการเอาประกันภัยรถยนต์พร้อมกันจำนวน 3 คันขึ้นไป ภายใต้นามสกุลเดียวกันหรือเป็นบริษัทเดียวกัน สำหรับลูกค้าซึ่งประกอบธุรกิจ โดยลด 10% จากอัตราเบี้ยประกันภัยปกติ
กรณีในปีที่ทำประกันไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น หรือมีแต่เป็นฝ่ายถูก (สามารถแจ้งคู่กรณีได้) จะได้รับส่วนลดประวัติดี 20%, 30%, 40% และสูงสุด 50% ทั้งนี้ หากได้รับส่วนลดประวัติดีที่ 50% แล้วมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในปีเดียวกัน บริษัทจะให้ส่วนลดเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ ดังนี้
1. ลำดับขั้นจากเดิม กรณีมีการเรียกร้องค่าสินไหมที่ผู้เอาประกันภัยไม่ได้เป็นฝ่ายประมาท และแจ้งคู่กรณีได้
2. ลดลงหนึ่งลำดับขั้นจากเดิม หากการเรียกร้องนั้นเกิดจากความประมาทของผู้เอาประกัน หรือแจ้งคู่กรณีไม่ได้
3. ลดลงสองลำดับขั้นจากเดิมแต่ไม่เกินอัตราปกติ หากมีการเรียกร้องโดยผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายประมาทหรือแจ้งคู่กรณีไม่ได้ตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป และมีจำนวนเงินเกิน 200% ของเบี้ยประกันภัย"
การระบุชื่อผู้ขับขี่ เบี้ยประกันจะถูกกว่าไม่ระบุชื่อ หากมีการระบุชื่อจะมีส่วนลดโดยกำหนดตามอายุของผู้ขับขี่ ดังนี้
- อายุ 18 - 24 ปี ลด 5%
- อายุ 25 - 35 ปี ลด 10%
- อายุ 36 - 50 ปี ลด 15%
- อายุ 50 ปีขึ้นไป ลด 20%
ทั้งนี้ สามารถระบุชื่อผู้ขับขี่ได้ 2 คน โดยจะคิดค่าเบี้ยประกันจากผู้ขับขี่ที่มีอายุความเสี่ยงสูง"
รถเก๋ง, รถนั่ง, รถจักรยานยนต์ ที่จดทะเบียนในนามของบุคคล ยกเว้นรถยนต์บรรทุก และรถที่จดทะเบียนในนามของนิติบุคคล
จะต้องรับผิดชอบค่าเสียหายในกรณีซ่อมรถของผู้เอาประกัน 6,000.- บาท แรก และถ้ามีการชดใช้ค่าเสียหายทรัพย์สินของคู่กรณี จะต้องรับผิดชอบ 2,000.-บาทแรก รวมเป็น 8,000.-บาท
- กรณี เปลี่ยนจากประเภท 3 เป็น ประเภท 1 ต้องนำรถยนต์เข้ามาให้ตรวจสภาพรถก่อน เพื่อตรวจสอบว่ามีอุบัติเหตุหรือไม่ โดยเบี้ยประกันภัยที่เปลี่ยนจะเริ่มคิด ณ วันที่ตรวจรถ จนสิ้นสุดอายุประกันภัย
- กรณี เปลี่ยนจากประเภท 1 เป็น ประเภท 3 ให้ผู้เอาประกันภัยเขียนบันทึก หรือเขียนยืนยันการแจ้งเปลี่ยนประกัน เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วส่ง FAX มาให้บริษัท โดยเบี้ยประกันภัยจะคืนให้ในส่วนที่เปลี่ยนจากประเภท 1 เป็นประเภท 3 ณ วันที่ได้รับแจ้งจนสิ้นสุดอายุกรมธรรม์
- แจ้งยกเลิกกรมธรรม์เพื่อขอรับค่าเบี้ยประกันภัยคืนบางส่วน
- โอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้ซื้อรถยนต์ โดยที่ผู้เอาประกันภัยเดิม จะต้องมีเอกสารยินยอมให้เปลี่ยนชื่อผู้เอาประกันภัย
- สามารถทำได้ โดยใช้เลขที่กรมธรรม์และวันสิ้นสุดกรมธรรม์ตามเดิม ซึ่งสามารถที่จะโอนส่วนลดจากรถคันเดิมมาคันใหม่ได้
กรณีเกิดอุบัติเหตุรถยนต์เกิดความเสียหายและไม่ทราบหรือไม่สามารถระบุคู่กรณีได้ ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายส่วนแรกเองในวงเงิน 2,000 บาทแรก หรือต้องรับภาระต่อความเสียหายส่วนแรกตามเงื่อนไขภายใต้กรมธรรม์ประกันภัย สำหรับในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเลือกซื้อความคุ้มครองในลักษณะกำหนดค่าเสียหายส่วนแรกที่ตกลงกันเพื่อผลในการประหยัดค่าเบี้ยประกันภัย
สามารถยกเลิกได้ โดยผู้เอาประกันภัยต้องแจ้งการยกเลิกกรมธรรม์ มาเป็นลายลักษณ์อักษร และบริษัทจะคืนเบี้ยประกันส่วนที่เหลือตามอัตราส่วน
ประกันภัยอุบัติเหตุเดินทางจะคุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุอย่างเดียว และไม่รวมค่ารักษาพยาบาลอันเนื่องมาจากการเจ็บป่วย หากลูกค้าต้องการให้คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากการเจ็บป่วยด้วย จะต้องทำประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพอีกฉบับหนึ่ง
1-180 วัน ตามแต่ระยะเวลาที่ลูกค้าจะเลือกเดินทาง
การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ การถูกฆ่า หรือถูกทำร้ายร่างกาย
ประกันภัยอุบัติเหตุเดินทางให้ความคุ้มครอง ตลอด 24 ชั่วโมง และครอบคลุมทั่วโลก โดยคุ้มครองในกรณีต่างๆ ต่อไปนี้
1. การสูญเสียชีวิต
2. การสูญเสียอวัยวะ และสายตา
3. การรักษาพยาบาล
ค่ารักษาพยาบาลที่คุ้มครองมักกำหนดไว้ไม่เกิน 10% ของวงเงินเอาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยจะได้รับชดเชยค่ารักษาพยาบาลตามที่ได้จ่ายไปจริง และเหมาจ่ายช่วงระหว่างเดินทางไม่เกินวงเงินเอาประกันภัยที่ทำไว้
ประกันภัยอุบัติเหตุเดินทางมีวงเงินเอาประกันภัยตั้งแต่ 50,000 ถึง 3,000,000 บาท ต่อคน ส่วนผู้ทำประกันภัยต้องมีอายุตั้งแต่ 12-65 ปีบริบูรณ์
หากเปลี่ยนลักษณะการใช้อาคาร ต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้บริษัทฯ ทราบก่อน เพื่อจะได้ดำเนินการออกสลักหลังให้โดยแจ้งเลขที่กรมธรรม์ฉบับปัจจุบัน และจะได้รับค่าเบี้ยประกันภัยคืนบางส่วน เนื่องจากอัตราเบี้ยประกันภัยถูกลง
ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในกรมธรรม์ กรุณาแจ้งเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ก่อน เมื่อเจ้าหน้าที่ธนาคารฯ รับแจ้งจากลูกค้าแล้วก็จะส่งข้อมูลที่ถูกต้องมาให้บริษัทฯทำการแก้ไขเป็นลำดับต่อไป
1. ทางบริษัทขอทราบถึงข้อมูลของผู้เอาประกันภัย พร้อมเบอร์กรมธรรม์ (ถ้ามี)
2. ในกรณีที่กรมธรรม์หาย ทางบริษัทสามารถถ่ายเอกสารสำเนากรมธรรม์พร้อมประทับตราบริษัท รับรองสำเนาถูกต้อง เพื่อให้แก่ลูกค้าได้
3. ในกรณีมีการเรียกร้องค่าสินไหม ข้อมูลของลูกค้าทั้งหมดจะอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถทำการตรวจสอบได้ว่ามีประกันภัยกับบริษัทไว้หรือไม่
การทำประกันภัยประเภทนี้ไม่ต้องตรวจสุขภาพ และผู้เอาประกันภัยต้องมีอายุตั้งแต่ 15 - 60 ปีบริบูรณ์ ถ้าเป็นกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับนักเรียน จะแบ่งเป็นระดับชั้นอนุบาล อุดมศึกษา และสายอาชีพ
ไม่จำเป็น เพียงแต่ผู้เอาประกันภัยต้องได้รับการรักษา โดยแพทย์ที่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ตามกฎหมาย หรือได้รับการพยาบาลโดยพยาบาลที่มีใบอนุญาต เช่น คลินิก โรงพยาบาลของสาธารณสุข หรือโรงพยาบาลเอกชน ก็สามารถเบิกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้
ผู้เอาประกันภัยจะได้รับชดเชยค่ารักษาพยาบาลตามที่ได้จ่ายไปจริง ซึ่งเกิดขึ้นภายใน 52 สัปดาห์ นับแต่วันเกิดอุบัติเหตุ และอยู่ในช่วงระยะเวลาประกันภัย ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุกี่ครั้งก็ตาม แต่ละครั้งบริษัทจะชดใช้ค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ทำไว้
ไม่สามารถเบิกได้ เว้นแต่ผู้เอาประกันภัยจะได้รับการชดใช้จากสวัสดิการของรัฐ หรือจากการประกันภัยอื่นมาแล้ว บริษัทจะรับผิดเรื่องจำนวนเงินค่ารักษาพยาบาลที่ได้จ่ายไปตามจริง
ค่ารักษาพยาบาลในที่นี้ไม่รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากการเจ็บป่วย จะชดเชยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากอุบัติเหตุเท่านั้น
เอกสารประกอบที่จะเบิกค่ารักษาพยาบาล ได้แก่
1. แบบเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน (แบบฟอร์มของบริษัท)
2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน / บัตรข้าราชการ / บัตรนักศึกษา
3. ใบรับรองแพทย์ (ต้นฉบับ)
4. ใบเสร็จรับเงิน (ต้นฉบับ)
วงเงินเอาประกันภัยปกติจะกำหนดไว้ไม่เกิน 10 เท่าของรายได้ (หลังหักค่าใช้จ่าย) ต่อปี หรือ 100 เท่าต่อเดือน ส่วนวงเงินค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุมักกำหนดไว้ไม่เกิน 10% ของวงเงินเอาประกันภัยการเสียชีวิต
สามารถทำได้
1. แบบเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน (แบบฟอร์มของบริษัท)
2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน / บัตรข้าราชการ / บัตรนักศึกษา
3. ใบรับรองแพทย์ (ต้นฉบับ)
4. ใบเสร็จรับเงิน (ต้นฉบับ)
1. แบบเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน (แบบฟอร์มของบริษัท)
2. ใบมรณะบัตร
3. ใบชันสูตรพลิกศพ (สาเหตุการตาย)
4. สำเนาทะเบียนบ้าน (ผู้เสียชีวิตและผู้รับประโยชน์)
5. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน (ผู้เสียชีวิตและผู้รับประโยชน์)
6. สำเนาบันทึกประจำวัน การเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุ
7. ผลจากสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ (กรณีถูกฆาตกรรม)
ไม่จ่าย
1. ส่งโทรสารมาที่หมายเลข 0-2643-2997 และ 0-2643-9499
2. ทางโทรศัพท์หมายเลข 0-2248-0059 ต่อ 438, 439
3. หรือส่งหนังสือแจ้งกลับมาที่บริษัท
บริษัทจะแจ้งหนังสือการต่ออายุล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ลูกค้าทราบว่ากรมธรรม์จะหมดอายุเมื่อไร
การเรียกร้องค่าเสียหายตามหลักกฏหมาย จะต้องเรียกร้องจากผู้กระทำละเมิดในที่นี้คือคู่กรณี ส่วนเรื่องคู่กรณีไม่มีประกันภัยก็จะต้องเรียกร้องจาก ผู้ขับขี่รถซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิดโดยตรงการเรียกร้องอาจจะต้องใช้เช่น
- เอกสารที่แสดงความรับผิดเช่น บันทึกประจำวันหรือเอกสารที่แสดงว่าคู่กรณีรับผิด
- เอกสารเกี่ยวกับการจัดซ่อมใบเสนอราคา,ระยะเวลาการจัดซ่อม การเรียกร้องเป็นสิทธิ์ตามกฏหมายหากผู้กระทำละเมิดไม่ยอมชดใช้ก็อาจจะต้องฟ้องร้องทางแพ่ง
กรณีรถประกัน "ประมาท" ชนผู้อื่นเสียชีวิต
- กรมธรรม์ พรบ. เรียกว่าภาคบังคับจะต้องชดใช้ค่าสินไหมเต็มวงเงิน 100,000 บาท
- ประเภท 1, 3 เรียกว่าภาคสมัครใจ เจรจาจ่ายตามหลักกฏหมายโดยมีการเจรจาต่อรอง ในวงเงินที่ผู้เสียหายและผู้ชดใช้เห็นว่าเหมาะสม
- ถ้าผู้ขับขี่เป็นฝ่ายผิด จะได้จากกรมธรรม์ พรบ.ของบริษัทประกันของตัวเอง จำนวน 35,000.-บาท
- ถ้าผู้ขับขี่เป็นฝ่ายถูก จะได้จากกรมธรรม์ พรบ.ของบริษัทประกันคันที่เป็นฝ่ายผิดแน่ๆ จำนวน 100,000.-บาท
ส่วนที่เกินจากนั้น ขอแนะนำว่าไม่ต้องไปดูว่าประกันภัยจะจ่ายให้เท่าไร แต่ให้ดูว่าทายาทที่ยังอยู่มีค่าใช้จ่ายงานศพเท่าไร และขาดไร้ค่าอุปการะหากผู้เสียชีวิตยังคงอยู่เท่าไร ก็ให้เรียกร้องจากผู้กระทำละเมิดเลย ซึ่งหากจำนวนเงินอยู่ในความคุ้มครองของกรมธรรม์ ผู้ละเมิดก็จะเคลมจากบริษัทประกัน แต่ถ้าเกินความคุ้มครองผู้ละเมิดจะเป็นผู้พิจารณาเอง
คำถามไม่ชัดเจนครับ แต่ขอสันนิษฐานว่ารถน่าจะมีการทำประกันทั้ง พรบ.และประเภท3 บริษัทฯ จะจ่ายให้ในส่วน พรบ.จำนวน 100,000.-บาท (ถ้าผลคดียังไม่ชัดจะจ่ายให้เบื้องต้นก่อน 35,000.-บาท)
สำหรับกรมธรรม์ประเภท 3 จะจ่ายได้เท่าใดคงต้องดูหลายอย่างประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นวงเงินในกรมธรรม์ , ค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพ , ความเสียหายที่เกิดแก่ทายาทจากการเสียชีวิตของผู้เสียชีวิต ฯลฯ
ส่วนคำว่า "ถ้าเรายังไม่เซ็นเอกสาร " ไม่ทราบว่าเป็นเอกสารอะไร แต่ขอตอบรวมๆ ว่า ในบางกรณีอาจถือเอาข้อเท็จจริงเป็นสาระมากกว่าครับ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
หากอุบัติเหตุเกิดจากความประมาทของคนอื่น และรู้ตัวผู้ต้องรับผิดว่าเป็นใคร โดยที่บริษัทฯสามารถใช้สิทธิ์เรียกร้องต่อไปได้ คุณจะไม่เสียประวัติครับ
1.เมื่อผู้เอาประกัน ประสงค์จะให้ผู้รับประกันภัยเข้าไปรับผิดชอบจัดการกับความเสียหายที่เกิดขึ้นตามสัญญาประกันภัย บ.ประกันภัยย่อมต้องเรียกเก็บค่าเสียหายจาก นาย ข.ผู้มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายในฐานะผู้ทำละเมิด และนาย ข.ต้องชำระค่าเสียหายให้กับบริษัทประกัน
2.ซากอะไหล่ จะเป็นของผู้ที่จ่ายค่าอะไหล่นั้น ในกรณีที่ นาย ข.จ่ายค่าเสียหายให้ในที่เกิดเหตุ นาย ข.ก็สามารถนำซากกันชนกลับไปได้ แต่กรณีที่ นัดจ่ายกันภายหลัง ก็คงต้องแจ้งให้ประกันทราบว่าก่อนว่า จะขอซากกันชน เพื่อให้ประกันเก็บไว้ให้เป็นกรณีพิเศษ มิฉะนั้น บริษัทประกันอาจไม่สามารถหาซากกันชนให้ได้
ในช่วงความคุ้มครองของกรมธรรม์รถยนต์ (1 ปี) ในกรณีที่ได้ประวัติดี คือ
1. ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหาย (หมายถึงผู้เอาประกันภัยไม่ได้แจ้งเคลมประกัน)
2. มีการเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ค่าเสียหายนั้นเกิดจากความประมาทของบุคคลภายนอก และรู้ตัวผู้ต้องรับผิดตามกฏหมาย (หมายถึงเป็นฝ่ายถูก) นอกจากที่กล่าวมาแล้ว จะถือว่าลูกค้าเสียประวัติ ซึ่งรายละเอียดมีระบุไว้ในกรมธรรม์
ในช่วงความคุ้มครองของกรมธรรม์รถยนต์ (1 ปี) ในกรณีที่ได้ประวัติดี คือ ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหาย (หมายถึงผู้เอาประกันภัยไม่ได้แจ้งเคลมประกัน) มีการเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ค่าเสียหายนั้นเกิดจากความประมาทของบุคคลภายนอก และรู้ตัวผู้ต้องรับผิดตามกฏหมาย (หมายถึงเป็นฝ่ายถูก) นอกจากที่กล่าวมาแล้ว จะถือว่าลูกค้าเสียประวัติ ซึ่งรายละเอียดมีระบุไว้ในกรมธรรม์
ลักษณะเหตุที่สอบถามเข้าเงื่อนไขตามกรมธรรม์ข้อที่ 4 (ก) ผู้เอาประกันภัยจะต้องเสียค่าเงื่อนไข 1,000 บาทแรกของความเสียหาย อันมิได้เกิดจากการชนหรือคว่ำ หรือกรณีที่เกิดจากการชน แต่ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถแจ้งให้บริษัททราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้
1. ใครก็ตามที่เป็นผู้ประสบภัยจากรถมีสิทธิได้รับการคุ้มครองเต็มตาม พรบ.หากมีประกันภัยเพียงแต่จะได้รับการชดใช้ไม่เท่ากัน ระหว่างผู้ขับขี่กับผู้โดยสาร
2. เอกสารในการขอรับค่าเสียหายเบื้องต้น
- ใบเสร็จค่ารักษา,ใบแจ้งหนี้
- ใบรับรองแพทย์
- สำเนาบัตรประตัว
รถชนฟุตบาทเคลมประกันได้ ไม่ต้องเสียค่าเงื่อนไข 1,000 บาท หินกระเด็นใส่ หากความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้ บุบ, แตก, ร้าว ไม่ต้องเสีย 1,000 บาท แต่หากกระเด็นใส่เสียหายเฉพาะพื้นผิวสีรถต้องเสีย การเรียกเก็บค่าเงื่อนไข 1,000 บาทจะเรียกเก็บต่อเหตุการณ์หรือต่อครั้ง
เงื่อนไขของประกันประเภท 1 เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2552 ในลักษณะเคลมที่มีความเสียหายเฉพาะพื้นสีผิวของตัวรถ จะถูกเรียกเก็บ 1,000 บาทต่อเหตุการณ์ ยกเว้นการชนที่มีแผล บุบ, แตก, ร้าว จะไม่เข้าเงื่อนไขที่ต้องเสีย
ถ้าเป็นประกันภัยรถยนต์ประเภท 2+ ทั้งชนฟุตบาทและถูกขูดขีดโดยคน จะไม่สามารถเคลมได้ จะเคลมได้ก็ต่อเมื่อรถประกันชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น (เช่น จยย.รถยนต์ ฯลฯ) หากรถคว่ำเองหรือชนต้นไม้, ชนรั้ว, ชนเสา ฯลฯ จะเคลมไม่ได้เลย
จะมีค่าใช้จ่ายใดๆหรือไม่คงต้องพิจารณาหลายอย่างครับ เช่น มีความเสียหายเกิดก่อนเอาประกัน หรือมีการเสื่อมสภาพ หรือมีการแจ้งเพิ่มให้ทำสีในส่วนของรถที่ไม่มีความเสียหายเพื่อให้รถมีความสวยงาม ฯลฯ เป็นต้น ต่างๆเหล่านี้คงต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม การเคลมลักษณะอย่างนี้ควรต้องนำรถไปติดต่อที่บริษัทฯ เพราะจะได้ตรวจสอบกันอย่างละเอียด และสามารถตอบคำถามหรือข้อโต้แย้งได้ทั้งหมดครับ ส่วนศูนย์ซ่อมโตโยต้าแถวจังหวัดนนทบุรี ลองดูสัก 3 ที่นะครับ
- บจ.โตโยต้า ( นนทบุรี ) โทร. 029505000
- บจ. โตโยต้า ( ดอนเมือง ) โทร. 029980217
- บจ. โตโยต้า ( บางบัวทอง ) โทร. 025712299
รถประกันประเภท 1 ชนก้อนหินสามารถเคลมได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ครับ วิธีการเคลมคือให้โทรไปแจ้งเหตุก่อน ผู้รับแจ้งจะให้เลขเคลมและแนะนำอู่ใกล้บ้าน ให้ไปทำเคลม Online ได้ที่อู่เลย และทุกเคลมที่เกิดจากความประมาทหรือไม่สามารถแจ้งคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ ล้วนมีผลกระทบกับค่าเบี้ยประกันในปีหน้าทั้งสิ้น ถ้ารถของคุณ เพิ่งทำประกันปีนี้เป็นปีแรก การเคลมครั้งนี้จะทำให้คุณไม่ได้รับส่วนลดประวัติดีในปีต่ออายุครับ
หากรถเอาประกันประเภท 1 ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็จะได้รับความคุ้มครอง แต่เนื่องจากเป็นอุบัติเหตุที่มีการเฉี่ยวชนกันกับรถอื่นและไม่สามารถแจ้งให้บริษัทฯทราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ ผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบเอง 2,000.-บาทแรกของความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้คงต้องพิจารณาประเด็นอื่นๆ ประกอบอีกด้วย
กรณีรถมีรอยถูกขีดข่วน สามารถเคลมได้ครับ ส่วนรอยที่ถูกเฉี่ยวชน หากเป็นรอยเฉี่ยวชนที่เกิดจากการเฉี่ยวชนกับรถอื่น ควรต้องแจ้งรายละเอียดของรถอื่นนั้นให้บริษัทฯ ทราบด้วย ถ้าไม่สามารถแจ้งได้ โดยหลักการอาจต้องเสียค่า EXCESS ครับ
โดยหลักแล้ว สามารถเคลมได้ครับ แต่คงต้องตรวจสอบข้อมูลบ้างบางประการครับ
การทำประกันประเภท 1 คือการที่บริษัทฯจะให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายของตัวรถยนต์ประกัน ส่วนการที่จะชดใช้โดยการเปลี่ยนอะไหล่ให้ใหม่ หรือจะใช้วิธีซ่อมนั้น ขึ้นอยู่กับระดับของความเสียหายว่ามากหรือน้อยครับ ถ้าเสียหายมากจริงก็ต้องเปลี่ยน ถ้าเสียหายไม่มากก็คงต้องเคลมเป็นการซ่อม แต่ถ้าการซ่อมมีผลต่อการใช้งานของรถที่ไม่สมบูรณ์ ก็ควรต้องเปลี่ยนครับ ลองคุยกับพนักงาน หรือลองคุยกับผู้จัดการส่วนที่เป็นหัวหน้างานนั้นๆ ดูอีกทีครับ
สามารถเคลมได้ครับโดยเลือกวิธีการเคลมแบบใดแบบหนึ่ง ดังนี้
1. นำรถมาติดต่อที่บริษัทฯ เพื่อให้บริษัทฯ ออกใบรับรองความเสียหายให้คุณถือไปเข้าซ่อมที่อู่ในเครือ
2. โทรแจ้งไปที่บริษัทฯ เพื่อให้พนักงานไปพบและออกใบรับรองความเสียหายให้คุณถือไปเข้าซ่อมที่อู่ในเครือ
3. โทรแจ้งไปที่บริษัทฯ เพื่อขอเลขเคลม แล้วขอรายชื่ออู่ในเครือที่คุณสามารถไปเปิดเคลมและจัดซ่อมได้เลย
โทร.ไปแจ้งเคลมได้เลยครับ แต่ถ้ามีอุปกรณ์สูญหายด้วยหรือมีความเสียหายมากๆ ต้องแจ้งความ แล้วคัดประจำวันมาด้วย ถ้าเสียหายมีร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ ก็น่าจะอนุโลมไม่ต้องแจ้งความก็ได้ครับ
เคลมได้ครับ แต่อาจเข้าเงื่อนไข มี DEDUCTIBLE คือต้องรับผิดชอบ 2,000.- บาทแรกของความเสียหาย เพราะไม่สามารถแจ้งรายละเอียดของรถที่ชนได้ แต่ขอให้คุยรายละเอียดกันอีกทีตอนแจ้งเคลมครับ
สามารถเคลมได้ครับ
ถ้าแจ้งเคลมและได้ใบเคลมแล้ว ให้นำใบเคลม, ใบเสร็จรับเงินไปติดต่อก็จะได้รับเงินเลย (กรณีไม่เกิน5,000.-บาท) และถ้าผู้เอาประกันไม่สามารถไปด้วยตัวเองให้มอบอำนาจไปด้วยครับ ติดต่อวันทำการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30 - 16.30 น.
ไม่น่าต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรครับ
- ความเสียหายที่สเกิร์ตสามารถเคลมได้ครับ ส่วนจะต้องเสีย DEDUCTIBLE 2,000 บาทหรือไม่คงต้องดูที่ลักษณะการเกิดเหตุ
- กรมธรรม์ซ่อมห้างหมายความว่าสามารถนำรถไปซ่อมที่ใดก็ได้ ถึงแม้ค่าซ่อมของอู่นั้นๆ จะแพงกว่าอู่ทั่วไป บริษัทฯก็จะจ่ายให้
- และหากคุณเอารถเข้าซ่อมที่อู่ที่มีรายชื่อของบริษัทฯ คุณจะไม่ต้องสำรองจ่ายใดๆ แต่หากนำรถเข้าซ่อมที่อู่นอกเหนือจากนี้ คุณคงต้องสำรองจ่ายครับ
- การโทรเคลมรถ เพื่อให้บริษัทฯ ส่งพนักงานไปทำเคลมให้นั้น โทรได้ที่เบอร์ 02-2480059
กรณีโดนยางมะตอยกระเด็นใส่ หากขัดไม่ออกต้องทำสีใหม่ สามารถเคลมได้ (แต่วิธีการต้องให้อู่ขัดสีก่อน ซึ่งปรกติจะขัดออก) ส่วนเรื่องค่าเงื่อนไขถ้าเป็นกรมธรรม์เก่าไม่ต้องเสีย หากเป็นกรมธรรม์ใหม่ คือกรมธรรม์ที่เริ่มคุ้มครองตั้งแต่ 1 ม.ค. 2552 จะต้องเสีย 1,000 บาท ส่วนเรื่องประวัติถือว่าเสียแน่นอน
ไม่ว่าผู้ประสบภัยจะเป็นผู้โดยสารในรถโดยสารสาธารณะ หรือในรถอื่นๆ ก็ตาม หากรถคันดังกล่าวทำประกันกับทิพยฯ การพิจารณาสินไหมจะเหมือนกันครับ คือจะจ่ายตามค่ารักษาอันจำเป็นที่เกิดขึ้นจริง และค่ารักษาอันจำเป็นที่จะเกิดในภายหน้า ทั้งนี้ต้องอยู่ที่วงเงินที่เจ้าของรถทำประกันไว้ด้วยครับ
ผู้ที่ดำเนินการเรียกร้องในเบื้องต้นจะเป็นพนักงานสำรวจอุบัติเหตุที่ออกไปสำรวจ แต่ถ้าท่านไม่ได้ชำระในเบื้องต้นนี้ การดำเนินการเรียกร้องจะเปลี่ยนมือจากพนักงานสำรวจ เป็นหน่วยงานติดตามเรียกร้อง ซึ่งจะออกใบรับเงินชั่วคราวให้ก่อน หลังจากนั้นจึงส่งใบเสร็จรับเงินไปให้ภายหลัง
หากต้องการโอนเงินเข้าบัญชีบริษัทโดยตรงก็ได้ครับ มีหลายบัญชี แต่แจ้งให้ทราบบัญชีเดียวก่อนครับ ที่ธนาคารกรุงไทย สาขาถนนอโศก ดินแดง ชื่อบัญชี บริษัททิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน ) เลขที่ 056-1-05949-7 แต่ต้องแจ้งให้พนักงานคนที่ท่านติดต่อทราบด้วยเพื่อพนักงานจะได้ส่งใบเสร็จให้ท่านได้
บริษัทประกันภัย จะเริ่มรับผิดชอบค่าสินไหมทดแทนต่อการบาดเจ็บ ในส่วนที่เกินความรับผิดชอบของ พรบ.ขึ้นไป หมายความว่าค่ารักษาของบุคคลภายนอกที่ไม่เกิน 50,000 บาท (ความคุ้มครองของ พรบ.) นั้น ผู้เอาประกันต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง
ในกรณีที่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ และตนเองเป็นฝ่ายประมาท จะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ พรบ. ดังนี้ ค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นที่จ่ายไปตามจริงในวงเงินไม่เกิน 15,000 บาท การเรียกร้องจะต้องใช้ใบเสร็จต้นฉบับและเอกสารอื่นๆ เช่นใบรับรองแพทย์, ปจว., สำเนาบัตรประชาชน โดยติดต่อเรียกร้องได้ที่ บ. ทิพยประกันภัย สำนักงานใหญ่, สาขา หรือบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
1. ใครก็ตามที่เป็นผู้ประสบภัยจากรถมีสิทธิได้รับการคุ้มครองเต็มตาม พรบ.หากมีประกันภัยเพียงแต่จะได้รับการชดใช้ไม่เท่ากัน ระหว่างผู้ขับขี่กับผู้โดยสาร
2. เอกสารในการขอรับค่าเสียหายเบื้องต้น
- ใบเสร็จค่ารักษา,ใบแจ้งหนี้
- ใบรับรองแพทย์
- สำเนาบัตรประตัว
กรมธรรม์ พรบ.ให้ความคุ้มครองกรณีรถ จยย. ล้ม ผู้ขับขี่ได้รับบาดเจ็บเบิกค่ารักษาได้ไม่เกิน15,000 บาท ตามที่จ่ายไปจริง หลักฐานที่ใช้
1. ประจำวันของตำรวจที่แจ้งความรถล้ม
2. ใบเสร็จค่ารักษา
3. ใบรับรองแพทย์
4. สำเนาบัตรประชาชนคนเจ็บ
5. สำเนาทะเบียนรถ
รถยนต์ที่ทำประกันภัยประเเภท 1 หากถูกน้ำท่วมเสียหาย บริษัทประกันภัย จะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น แบ่งเป็น
1. หากน้ำท่วมไม่มากและสามารถจัดซ่อมได้บริษัทก็จ่ายค่าซ่อมที่เกิดขึ้นทั้งหมด
2. หากน้ำท่วมมาก ขนาดเสียหายถึงระบบไฟฟ้า ซึ่งไม่คุ้มค่าการจัดซ่อม บริษัทจะพิจารณาจ่ายเต็มทุนประกัน โดยที่ลูกค้าจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ของรถให้บริษัทประกันภัย
เรื่องใบแจ้งความยางอะไหล่ที่หาย ควรจะนำไปเคลมไม่เกินวันที่คุ้มครองในกรมธรรม์นั้นๆ ครับ
กรณีอุบัติเหตุที่ถอยชนรถคู่กรณี ควรมีการแจ้งและนัดให้บริษัทฯ ส่งพนักงานไปทำเคลมให้เรียบร้อยเลยทีเดียว ไม่ควรปล่อยไว้ครับ กรณีนำรถเข้าซ่อมศูนย์แล้วต้องจ่ายค่าซ่อมเพิ่ม เป็นเพราะว่าค่าซ่อมของศูนย์จะแพงกว่าค่าซ่อมของอู่ธรรมดาทั่วไป หากซื้อกรมธรรม์ประเภท 1 ที่ระบุว่า "ขอซ่อมห้าง" ก็จะไม่ต้องออกเงินค่าซ่อมเพิ่ม เพียงแต่ต้องจ่ายค่าเบี้ยแพงขึ้นอีกนิดครับ แต่เดี๋ยวนี้อู่ทั่วไปมีจำนวนมากที่ขึ้นทะเบียนเป็นอู่กลางของกรมการประกันภัย มีมาตรฐานที่กรมการประกันภัยรับรองอยู่ ซึ่งถ้าเข้าซ่อมอู่เหล่านี้ก็จะไม่ต้องออกเงินเพิ่มครับ
ในระบบเคลมของทิพยฯ ไม่มีคำว่า High Class นะครับ แต่อาจจะมีการแยกการทำประกันรถยนต์ประเภท 1 เป็น 2 แบบ คือ ซ่อมห้าง กับ ไม่ซ่อมห้าง ซึ่งค่าเบี้ยประกันจะไม่เท่ากัน ลูกค้าจะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกซื้อตามความต้องการครับ
ถ้ามีประกันภัยประเภท 1 เคลมได้ครับ จะโทรแจ้งให้บริษัทฯ ส่งพนักงานไป หรือจะนำรถไปติดต่อเองก็ได้ กรณีอย่างนี้ถ้านำรถไปติดต่อเองจะดีกว่า เพราะจะได้ตรวจสอบรายละเอียดได้ครับ
การที่ผู้เอาประกันต้องจ่ายค่ายาง 50% ถือเป็นการรับภาระค่าเสื่อมสภาพของยางที่สึกหรอไปเพราะการใช้งาน หากพิสูจน์ได้ว่ายางที่ถูกโขมยเป็นยางใหม่เอี่ยมที่ไม่เคยใช้งานเลย ผู้เอาประกันก็ไม่ต้องจ่ายค่าเสื่อมสภาพครับ
ความเสียหายที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของรถยนต์ เคลมไม่ได้ครับ
กรมธรรม์กำหนดว่า หากรถมีความเสียหายโดยสิ้นเชิง ก็จะต้องคืนทุนประกัน คำว่า "ความเสียหายโดยสิ้นเชิง" ก็คือรถที่มีค่าซ่อมสูงถึง 70% ของมูลค่ารถหรือของทุนประกัน (เรามักจะนำมูลค่ารถมากำหนดเป็นทุนประกัน) ดังนั้น ถ้าค่าซ่อมสูงไม่ถึง 70% ก็จะใช้วิธีจัดซ่อมให้ครับ
สามารถนำรถเข้าซ่อมที่ศูนย์บริการโตโยต้าพิธานพานิชย์ สาขาปัตตานี ได้ครับ แต่ต้องแจ้งเคลมกับทางบริษัทฯที่สาขาหาดใหญ่ (โทร.074-345301-4) เพื่อให้พนักงานออกใบเคลมให้คุณถือไปที่ศูนย์ดังกล่าวก่อน
มีกำหนด 2 ปี ตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติไม่ควรเก็บไว้นาน เพราะอาจมีปัญหา เช่น รถอาจขึ้นสนิม รถอาจไปเฉี่ยวชนซ้ำ ฯลฯ จะทำให้เคลียร์เรื่องยุ่งยากขึ้น และควรเข้าซ่อมก่อนหมดอายุ 2 เดือน เพื่อเป็นการเผื่อเวลาให้อู่ตั้งเบิก
จ่ายเป็นเงินสดได้ครับ
ถ้าไม่สามารถไปได้ด้วยตนเองต้องใช้
1.ชุดมอบอำนาจ (ใบมอบอำนาจ, สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบและผู้รับมอบ)
2.ใบเสร็จตัวจริง
3.ซากอะไหล่ที่เสียหาย (ให้ติดไปด้วยครับ เพราะไม่ทราบว่าการเคลมในเบื้องต้นมีการคุยกันเอาไว้อย่างไร)
เป็นหน้าที่ของบริษัทฯ ที่จะต้องแก้ปัญหานี้ให้ครับ จะให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและโทร.กลับไปโดยด่วนครับ
เมื่อรถได้รับความเสียหาย ก็ต้องมีการชดใช้คืนให้อยู่ในสภาพเดิม ตามหลักแล้ว บริษัทประกันจะชดใช้ให้ตามสภาพของอะไหล่ที่เสียหายครับ
การเคลมรถจะให้ความสำคัญกับผู้ขับขี่มากกว่าครับ ส่วนการทำสีทั้งคัน จะต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มหรือไม่นั้น คงต้องพิจารณาหลายเรื่อง วันทำเคลมพนักงานจะแจ้งให้ทราบครับ
กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ จะคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถรวมถึงอุปกรณ์ ที่เสียหายจากอุบัติเหตุเท่านั้น ไม่รวมถึงการเสื่อมสภาพ เช่น แบตเตอรี่,ยางรถยนต์ หรือสีที่พ่นมากับตัวรถ เว้นแต่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วทำให้ชิ้นส่วนดังกล่าวเสียหายด้วย แต่การชดใช้ก็ต้องหักค่าเสื่อม
อุปกรณ์หรือของตกแต่งที่ติดเพิ่มจากมาตรฐานโรงงาน จะต้องแจ้งบริษัทประกันภัยให้ทราบก่อน ส่วนความเสียหายของตัวรถหรืออุปกรณ์ จะต้องเป็นความเสียหายจากอุบัติเหตุเท่านั้นถึงจะคุ้มครอง สำหรับความเสียหายกรณีนี้เกิดจาก ความเสียหายจากการใช้งาน จึงไม่ได้รับความคุ้มครอง
1. แจ้งความกับตำรวจพร้อมขอถ่ายสำเนาประจำวันที่แจ้งความไว้
2. โทรแจ้งเคลมมาที่ 02-2480059 จะมีเจ้าหน้าที่รับแจ้งและดำเนินการให้
3. หรือนำรถ พร้อมสำเนาประจำวันมาติดต่อที่บริษัทฯ สนญ. ถนนพระรามเก้า โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
การเคลมรถโดยการซ่อมสี จะต้องมีความเสียหายจากอุบัติเหตุเท่านั้น ส่วนเรื่องการจะเปลี่ยนสีหลังจากมีความเสียหายแล้ว สามารถทำได้หากค่าเสียหายไม่เพิ่มขึ้น หรือหากมีเพิ่มขึ้น ลูกค้าจะต้องจ่ายในส่วนที่เพิ่มขึ้น
1. กรณีใบขับขี่ไม่มี พรบ.ไม่ขาด เมื่อเกิดเหตุ กรมธรรม์ให้ความคุ้มครอง
2. กรณีกรมธรรม์ขาดหรือหมดอายุ เมื่อเกิดเหตุกรมธรรม์ไม่ให้ความคุ้มครอง
กรมธรรม์นี้จะไม่คุ้มครองการยกเลิกการเดินทางเนื่องจากเหตุผลและความจำเป็นของนายจ้าง
1-180 วัน ตามแต่ระยะเวลาที่ลูกค้าจะเลือกเดินทาง
การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ การถูกฆ่า หรือถูกทำร้ายร่างกาย
ประกันภัยอุบัติเหตุเดินทางจะคุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุอย่างเดียว และไม่รวมค่ารักษาพยาบาลอันเนื่องมาจากการเจ็บป่วย หากลูกค้าต้องการให้คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากการเจ็บป่วยด้วย จะต้องทำประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพอีกฉบับหนึ่ง
หากผู้เอาประกันภัยได้รับการชดเชยค่ารักษาพยาบาลเต็มจำนวนแล้ว จากสวัสดิการ/สิทธิประกันสุขภาพของบริษัท ก็จะไม่สามารถเบิกเงินชดเชยได้อีก แต่หากผู้เอาประกันภัยได้รับการชดเชยค่ารักษาพยาบาลแล้วเพียงบางส่วน ก็สามารถเบิกเงินชดเชยค่ารักษาพยาบาลส่วนที่เหลือตามเงื่อนไขกรมธรรม์กับบริษัทฯ ได้
สำหรับการประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย มีหลักเกณฑ์ ในการพิจารณาชดใช้ค่าเสียหายดังนี้ พิจารณามูลค่าทรัพย์สิน ณ เวลาที่เกิดความเสียหาย จำนวนเงินที่เอาประกันภัย มูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย
- กรณีที่จำนวนเอาประกันภัยไว้ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของมูลค่าทั้งหมดของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย (100%) ขณะเกิดความเสียหาย บริษัทฯ จะชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เอาประกันเต็มจำนวนความเสียหาย (แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกัน) ยกตัวอย่างเช่น บ้านหลังหนึ่งมีมูลค่าทั้งหมด (100%) = 1,000,000 บาท เอาประกันภัยไว้ 700,000 บาท (70%) เพลิงไหม้ ได้รับความเสียหายบางส่วน = 250,000 บาท บริษัทฯ จะชดใช้ค่าเสียหายให้ 250,000 ตามความเสียหายจริง (แต่ไม่เกินทุนประกัน)
- กรณีที่จำนวนเอาประกันภัยไว้ ต่ำกว่า 70% ของมูลค่าทั้งหมดของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย (100%) ขณะเกิดความเสียหาย ให้ถือว่าผู้ประกันภัยรับความเสี่ยงภัยไว้เองในส่วนที่แตกต่างกับมูลค่าที่แท้จริง จะต้องใช้หลักการเฉลี่ยค่าเสียหาย ( Law of Average ) มาพิจารณาจ่ายค่าเสียหาย เช่น บ้านหลังหนึ่งมีมูลค่าทั้งหมด (100%) = 1,000,000 บาท เอาประกันภัยไว้ 500,000 บาท (50%) เพลิงไหม้ ได้รับความเสียหายบางส่วน = 250,000.00 บาท บริษัทฯจะชดใช้ค่าเสียหายให้ 125,000 บาท (50% ของมูลค่าความเสียหาย)
บริษัทไม่มีโรงพยาบาลในเครือในต่างประเทศ ลูกค้าต้องสำรองเงินออกไปก่อน และมาตั้งเรื่องเบิกจ่ายภายหลัง
การพิจารณาชดใช้จะขึ้นอยู่กับการแถลงข้อเท็จจริง และ บริษัทจะชดใช้เงินคืนให้แก่ผู้เอาประกันภัย สำหรับการสูญเสียหรือความเสียหายของการบอกเลิกการเดินทาง ที่เกิดขึ้นหลังจากที่กรมธรรม์ประกันภัยมีผลบังคับแล้ว
สำหรับค่าใช้จ่ายที่ผู้เอาประกันภัยได้จ่ายไปล่วงหน้าบางส่วนหรือทั้งหมดเพื่อเป็นค่ามัดจำหรือจองตั๋วเดินทาง หรือค่าที่พัก ตามที่ระบุในตารางความคุ้มครอง และ เงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย
ไม่สามารถเรียกร้องค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลในต่างประเทศอันเนื่องมาจากโรคที่เป็นมาก่อนการทำประกัน
ถ้ามีประกันภัยประเภท 1 เคลมได้ครับ จะโทรแจ้งให้บริษัทฯ ส่งพนักงานไป หรือจะนำรถไปติดต่อเองก็ได้ กรณีอย่างนี้ถ้านำรถไปติดต่อเองจะดีกว่า เพราะจะได้ตรวจสอบรายละเอียดได้ครับ
อายุความตามกฎหมาย 2 ปีครับ แต่ไม่อยากให้ทิ้งนานขนาดนั้น เพราะอาจมีปัญหาอื่นๆ ตามมา ทันทีที่มีเวลา ให้รีบซ่อมนะครับ
หากรถคันดังกล่าว ทำประกันไว้กับบริษัท บริษัทสามารถตรวจสอบการเกิดอุบัติเหตุและการเคลมให้ได้ ส่วนการจัดทำประกัน สามารถทำได้ แต่ค่าเบี้ยประกันคงต้องมีรายละเอียดมากกว่านี้ ( เช่น การกำหนดทุนประกัน , ข้อมูลส่วนบุคคลที่จะกำหนดส่วนลดต่างๆ เป็นต้น )
สามารถเคลมได้ครับโดยเลือกวิธีการเคลมแบบใดแบบหนึ่ง ดังนี้
1. นำรถมาติดต่อที่บริษัทฯ เพื่อให้บริษัทฯ ออกใบรับรองความเสียหายให้คุณถือไปเข้าซ่อมที่อู่ในเครือ
2. โทรแจ้งไปที่บริษัทฯ เพื่อให้พนักงานไปพบและออกใบรับรองความเสียหายให้คุณถือไปเข้าซ่อมที่อู่ในเครือ
3. โทรแจ้งไปที่บริษัทฯ เพื่อขอเลขเคลม แล้วขอรายชื่ออู่ในเครือที่คุณสามารถไปเปิดเคลมและจัดซ่อมได้เลย
ถ้าเป็นกรมธรรม์ "ซ่อมห้าง" จะซ่อมที่โตโยต้านนทบุรีก็ได้ หรือจะซ่อมที่ใดก็ได้ บริษัทฯ จะจ่ายค่าซ่อมให้เต็มทั้งค่าแรงและค่าอะไหล่ครับ ยกเว้นอะไหล่ที่มีการเสื่อมสภาพ ก็จะจ่ายให้ตามสภาพ เช่นแบตเตอร์รี่ , ยางล้อ ฯลฯ
หากต้องการจะเคลมเมื่อใด ก็ให้โทรแจ้งเหตุและนัดให้พนักงานไปพบได้ทั้งที่บ้าน,ที่ทำงานหรือที่ศูนย์ซ่อมใดก็ได้ครับ จะเคลมชิ้นใดก็ให้แจ้งพนักงานได้เลย พนักงานจะออกหลักฐานให้ใบหนึ่ง ( ใบรับรองความเสียหาย ) ให้คุณนำใบนี้มอบให้กับศูนย์ HONDA ใดก็ได้ ศูนย์จะไปเคลียร์ค่าซ่อมกับบริษัทฯ เอง กรณีเป็นการเคลมรอบคัน พนักงานอาจจะใช้เวลาตรวจสอบประวัติการทำประกันบ้างเล็กน้อย หากมีปัญหาระหว่างทำเคลม ให้โทร.ปรึกษาได้ที่คุณสัญญา ซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนที่ดูแลงานนี้อยู่ครับ (089-9221150)
สามารถเคลมได้ครับ
ถ้าแจ้งเคลมและได้ใบเคลมแล้ว ให้นำใบเคลม, ใบเสร็จรับเงินไปติดต่อก็จะได้รับเงินเลย (กรณีไม่เกิน5,000.-บาท) และถ้าผู้เอาประกันไม่สามารถไปด้วยตัวเองให้มอบอำนาจไปด้วยครับ ติดต่อวันทำการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30 - 16.30 น.
ไม่น่าต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรครับ
ถ้าผู้ขับขี่เป็นฝ่ายผิด จะได้จากกรมธรรม์ พรบ.ของบริษัทประกันของตัวเอง จำนวน 35,000.-บาท ถ้าผู้ขับขี่เป็นฝ่ายถูก จะได้จากกรมธรรม์ พรบ.ของบริษัทประกันคันที่เป็นฝ่ายผิดแน่ๆ จำนวน 100,000.-บาท ส่วนที่เกินจากนั้น ขอแนะนำว่าไม่ต้องไปดูว่าประกันภัยจะจ่ายให้เท่าไร แต่ให้ดูว่าทายาทที่ยังอยู่มีค่าใช้จ่ายงานศพเท่าไร และขาดไร้ค่าอุปการะหากผู้เสียชีวิตยังคงอยู่เท่าไร ก็ให้เรียกร้องจากผู้กระทำละเมิดเลย ซึ่งหากจำนวนเงินอยู่ในความคุ้มครองของกรมธรรม์ ผู้ละเมิดก็จะเคลมจากบริษัทประกัน แต่ถ้าเกินความคุ้มครองผู้ละเมิดจะเป็นผู้พิจารณาเอง
การเคลมรถจะให้ความสำคัญกับผู้ขับขี่มากกว่าครับ ส่วนการทำสีทั้งคัน จะต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มหรือไม่นั้น คงต้องพิจารณาหลายเรื่อง วันทำเคลมพนักงานจะแจ้งให้ทราบครับ
บริษัทประกันภัย จะเริ่มรับผิดชอบค่าสินไหมทดแทนต่อการบาดเจ็บ ในส่วนที่เกินความรับผิดชอบของ พรบ.ขึ้นไป หมายความว่าค่ารักษาของบุคคลภายนอกที่ไม่เกิน 50,000 บาท (ความคุ้มครองของ พรบ.) นั้น ผู้เอาประกันต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง
- ความเสียหายที่สเกิร์ตสามารถเคลมได้ครับ ส่วนจะต้องเสีย DEDUCTIBLE 2,000 บาทหรือไม่คงต้องดูที่ลักษณะการเกิดเหตุ
- กรมธรรม์ซ่อมห้างหมายความว่าสามารถนำรถไปซ่อมที่ใดก็ได้ถึงแม้ค่าซ่อมของอู่นั้นๆ จะแพงกว่าอู่ทั่วไป บริษัทฯก็จะจ่ายให้
- และหากคุณเอารถเข้าซ่อมที่อู่ที่มีรายชื่อของบริษัทฯ คุณจะไม่ต้องสำรองจ่ายใดๆแต่หากนำรถเข้าซ่อมที่อู่นอกเหนือจากนี้ คุณคงต้องสำรองจ่ายครับ
- การโทรเคลมรถ เพื่อให้บริษัทฯ ส่งพนักงานไปทำเคลมให้นั้น โทรได้ที่เบอร์ 02-2480059
เงื่อนไขนี้ใช้กับกรมธรรม์ที่มีผลคุ้มครองตั้งแต่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป (กรมธรรม์เก่ายังเหมือนเดิม) จะถูกเรียกเก็บ 1,000 บาท มี 2 กรณี คือ
1. ความเสียหายอันเกิดจากการชน ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถแจ้งให้บริษัททราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น ชนกับรถด้วยกัน แต่ไม่ทราบคู่กรณี (เดิมเสีย 2,000 บาท)
2. ความเสียหายอันมิได้เกิดจากการชนหรือคว่ำ (เพิ่มขึ้นมาใหม่) เช่น รถถูกขูดขีด, วัสดุตกใส่, กระจกระเบิด, น้ำท่วม ฯลฯ ส่วนกรณีชนสุนัข, ชนต้นไม้, ตกคูน้ำ ฯลฯ ถือว่าเกิดจากการชนที่สามารถระบุได้ชัดเจน จึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก และการเรียกเก็บ จะถูกเรียกเก็บต่ออุบัติเหตุ 1 ครั้งไม่ใช่ต่อชิ้นส่วน
ในกรณีที่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ และตนเองเป็นฝ่ายประมาท จะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ พรบ. ดังนี้
1. ค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นที่จ่ายไปตามจริงในวงเงินไม่เกิน 15,000 บาท
2. การเรียกร้องจะต้องใช้ใบเสร็จต้นฉบับและเอกสารอื่นๆ เช่นใบรับรองแพทย์, ปจว., สำเนาบัตรประชาชน โดยติดต่อเรียกร้องได้ที่ บ. ทิพยประกันภัย สำนักงานใหญ่, สาขา หรือบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
ในช่วงความคุ้มครองของกรมธรรม์รถยนต์ (1 ปี) ในกรณีที่ได้ประวัติดี คือ ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหาย (หมายถึงผู้เอาประกันภัยไม่ได้แจ้งเคลมประกัน) มีการเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ค่าเสียหายนั้นเกิดจากความประมาทของบุคคลภายนอก และรู้ตัวผู้ต้องรับผิดตามกฏหมาย (หมายถึงเป็นฝ่ายถูก) นอกจากที่กล่าวมาแล้ว จะถือว่าลูกค้าเสียประวัติ ซึ่งรายละเอียดมีระบุไว้ในกรมธรรม์
กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ จะคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถรวมถึงอุปกรณ์ ที่เสียหายจากอุบัติเหตุเท่านั้น ไม่รวมถึงการเสื่อมสภาพ เช่น แบตเตอรี่,ยางรถยนต์ หรือสีที่พ่นมากับตัวรถ เว้นแต่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วทำให้ชิ้นส่วนดังกล่าวเสียหายด้วย แต่การชดใช้ก็ต้องหักค่าเสื่อม
หากจะเข้าซ่อมที่ศูนย์ สามารถเข้าซ่อมได้ แต่จะมีส่วนต่างค่าแรงประมาณ 40% ส่วนค่าอะไหล่ประกันจ่ายเต็ม 100% ส่วนการจัดซ่อม หากเป็นไปได้ควรจัดซ่อมทั้งหมด เพราะเมื่อจ่ายค่าซ่อมแล้ว จะต้องส่งไปเรียกร้องภายใต้อายุความตามกฏหมาย
อุปกรณ์หรือของตกแต่งที่ติดเพิ่มจากมาตรฐานโรงงาน จะต้องแจ้งบริษัทประกันภัยให้ทราบก่อน ส่วนความเสียหายของตัวรถหรืออุปกรณ์ จะต้องเป็นความเสียหายจากอุบัติเหตุเท่านั้นถึงจะคุ้มครอง สำหรับความเสียหายกรณีนี้เกิดจาก ความเสียหายจากการใช้งาน จึงไม่ได้รับความคุ้มครอง
กรณีโดนยางมะตอยกระเด็นใส่ หากขัดไม่ออกต้องทำสีใหม่ สามารถเคลมได้ (แต่วิธีการต้องให้อู่ขัดสีก่อน ซึ่งปรกติจะขัดออก) ส่วนเรื่องค่าเงื่อนไขถ้าเป็นกรมธรรม์เก่าไม่ต้องเสีย หากเป็นกรมธรรม์ใหม่ คือกรมธรรม์ที่เริ่มคุ้มครองตั้งแต่ 1 ม.ค. 2552 จะต้องเสีย 1,000 บาท ส่วนเรื่องประวัติถือว่าเสียแน่นอน
เงื่อนไขของประกันประเภท 1 เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2552 ในลักษณะเคลมที่มีความเสียหายเฉพาะพื้นสีผิวของตัวรถ จะถูกเรียกเก็บ 1,000 บาทต่อเหตุการณ์ ยกเว้นการชนที่มีแผล บุบ, แตก, ร้าว จะไม่เข้าเงื่อนไขที่ต้องเสีย
ถ้าเป็นประกันภัยรถยนต์ประเภท 2+ ทั้งชนฟุตบาทและถูกขูดขีดโดยคน จะไม่สามารถเคลมได้ จะเคลมได้ก็ต่อเมื่อรถประกันชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น (เช่น จยย.รถยนต์ ฯลฯ) หากรถคว่ำเองหรือชนต้นไม้, ชนรั้ว, ชนเสา ฯลฯ จะเคลมไม่ได้เลย
รถชนฟุตบาทเคลมประกันได้ ไม่ต้องเสียค่าเงื่อนไข 1,000 บาท หินกระเด็นใส่ หากความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้ บุบ, แตก, ร้าว ไม่ต้องเสีย 1,000 บาท แต่หากกระเด็นใส่เสียหายเฉพาะพื้นผิวสีรถต้องเสีย การเรียกเก็บค่าเงื่อนไข 1,000 บาทจะเรียกเก็บต่อเหตุการณ์หรือต่อครั้ง
แจ้งความกับตำรวจพร้อมขอถ่ายสำเนาประจำวันที่แจ้งความไว้ โทรแจ้งเคลมมาที่ 02-2480059 จะมีเจ้าหน้าที่รับแจ้งและดำเนินการให้ หรือนำรถ พร้อมสำเนาประจำวันมาติดต่อที่บริษัทฯ สนญ. ถนนพระรามเก้า โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
กรณีรถประกัน "ประมาท" ชนผู้อื่นเสียชีวิต
- กรมธรรม์ พรบ. เรียกว่าภาคบังคับจะต้องชดใช้ค่าสินไหมเต็มวงเงิน 100,000 บาท
- ประเภท 1, 3 เรียกว่าภาคสมัครใจ เจรจาจ่ายตามหลักกฏหมายโดยมีการเจรจาต่อรอง ในวงเงินที่ผู้เสียหายและผู้ชดใช้เห็นว่าเหมาะสม
การเคลมรถโดยการซ่อมสี จะต้องมีความเสียหายจากอุบัติเหตุเท่านั้น ส่วนเรื่องการจะเปลี่ยนสีหลังจากมีความเสียหายแล้ว สามารถทำได้หากค่าเสียหายไม่เพิ่มขึ้น หรือหากมีเพิ่มขึ้น ลูกค้าจะต้องจ่ายในส่วนที่เพิ่มขึ้น
กรมธรรม์ พรบ.ให้ความคุ้มครองกรณีรถ จยย. ล้ม ผู้ขับขี่ได้รับบาดเจ็บเบิกค่ารักษาได้ไม่เกิน15,000 บาท ตามที่จ่ายไปจริง หลักฐานที่ใช้
1. ประจำวันของตำรวจที่แจ้งความรถล้ม
2. ใบเสร็จค่ารักษา
3. ใบรับรองแพทย์
4. สำเนาบัตรประชาชนคนเจ็บ
5. สำเนาทะเบียนรถ
1. เรื่องเคลื่อนย้ายรถหลังจากเกิดเหตุสามารถทำได้ ก่อนเคลื่อนย้ายควรต้องเจรจากันก่อนว่าใครผิดใครถูกตกลงให้ชัดเจนหากตกลงได้ก็เคลื่อนย้ายได้
2. เรื่องที่ยังตกลงกันไม่ได้ว่าใครผิดถูกก็ไม่ควรเคลื่อนย้ายคงต้องแจ้งตำรวจเพื่อให้ตำรวจมาตรวจสอบจุดชนก่อนเคลื่อนย้าย
3. เมื่อดำเนินการตาม 1และ 2 แล้ว แจ้งเหตุมายังประกันภัยเพื่อไปดำเนินการตรวจสอบ เวลาจะสรุปว่าใครผิดใครถูก ก็จะใช้หลักเดียวกับพนักงานสอบสวนคือยึด พรบ.จราจรเป็นหลัก
4. เมื่อพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมสอบปากคำ พนักงานตรวจอุบัติเหตุของประกันภัยก็จะตรวจสอบเหมือนพนักงานสอบสวนแล้วจะสรุปว่าใครผิดใครถูก ส่วนใหญ่จะตรงกันระว่างตำรวจกับประกันภัยแต่หากไม่ตรงกันก็จะต้องสอบถามถึงเหตุผลและหลักข้อกฏหมายและเมื่อสรุปแล้วใครผิดใครถูกหากผู้ขับขี่ยอมรับเรื่องก็จบ แต่หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ยอมรับตำรวจก็มีหน้าที่ต้องทำเรื่องส่งฟ้อง เพื่อให้ศาลตัดสิน
1. กรณีใบขับขี่ไม่มี พรบ.ไม่ขาด เมื่อเกิดเหตุ กรมธรรม์ให้ความคุ้มครอง
2. กรณีกรมธรรม์ขาดหรือหมดอายุ เมื่อเกิดเหตุกรมธรรม์ไม่ให้ความคุ้มครอง
ไม่เสียครับ
ในแง่ของกรมธรรม์ถือว่าการเปลี่ยนเครื่องยนต์ไม่ทำให้มีความเสี่ยงภัยเพิ่มหากเกิดอุบัติเหตุ บริษัทประกันภัยยังคงต้องรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกและตัวรถประกันเหมือนเดิม ยกเว้นหากเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนแปลงมาเกิดความเสียหายก็จะได้รับการชดใช้ในราคาเรื่องยนต์เดิม
เรามีจุดรับแจ้งเหตุสำหรับลูกค้าโทรแจ้งเหตุในกทม. เพียงแห่งเดียว แต่มีเจ้าหน้าที่ประจำจุดต่างๆ ในเขตกทม. ตามสถานีตำรวจและอู่โดยคุมเวลาไว้ไม่เกิน 20 นาที่สำหรับอุบัติเหตุในเขต กทม.ซึ่งปัจจุบันเราสามารถทำได้ 95% มีผิดพลาดประมาณ 5%
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ถ้าได้รับบาดเจ็บหากเป็นการรักษาเบิกได้ ส่วนเรื่องอุดฟันต้องดูในรายละเอียดว่าอุดฟันเพราะอะไร เป็นการรักษาจากอุบัติเหตุหรือไม่ ควรนำเอกสารติดต่อที่ทิพยเพื่อพิจารณาอีกครั้งว่ารับผิดชอบได้หรือไม่
1. ใครก็ตามที่เป็นผู้ประสบภัยจากรถมีสิทธิได้รับการคุ้มครองเต็มตาม พรบ.หากมีประกันภัยเพียงแต่จะได้รับการชดใช้ไม่เท่ากัน ระหว่างผู้ขับขี่กับผู้โดยสาร
2. เอกสารในการขอรับค่าเสียหายเบื้องต้น
- ใบเสร็จค่ารักษา,ใบแจ้งหนี้
- ใบรับรองแพทย์
- สำเนาบัตรประตัว
การเรียกร้องค่าเสียหายตามหลักกฏหมาย จะต้องเรียกร้องจากผู้กระทำละเมิดในที่นี้คือคู่กรณี ส่วนเรื่องคู่กรณีไม่มีประกันภัยก็จะต้องเรียกร้องจาก ผู้ขับขี่รถซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิดโดยตรงการเรียกร้องอาจจะต้องใช้เช่น
- เอกสารที่แสดงความรับผิดเช่น บันทึกประจำวันหรือเอกสารที่แสดงว่าคู่กรณีรับผิด
- เอกสารเกี่ยวกับการจัดซ่อมใบเสนอราคา,ระยะเวลาการจัดซ่อม การเรียกร้องเป็นสิทธิ์ตามกฏหมายหากผู้กระทำละเมิดไม่ยอมชดใช้ก็อาจจะต้องฟ้องร้องทางแพ่ง
เรามีศูนย์บริการรับแจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง โทร. 0-2239-2200, 0-2248-0059, 0-2643-2900 หรือสายด่วน 0-2643-2121
รถยนต์ที่ทำประกันภัยประเเภท 1 หากถูกน้ำท่วมเสียหาย บริษัทประกันภัย จะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น แบ่งเป็น
1. หากน้ำท่วมไม่มากและสามารถจัดซ่อมได้บริษัทก็จ่ายค่าซ่อมที่เกิดขึ้นทั้งหมด
2. หากน้ำท่วมมาก ขนาดเสียหายถึงระบบไฟฟ้า ซึ่งไม่คุ้มค่าการจัดซ่อม บริษัทจะพิจารณาจ่ายเต็มทุนประกัน โดยที่ลูกค้าจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ของรถให้บริษัทประกันภัย
คุ้มครองทั้ง 2 ประเด็น
- ประเด็นแรก ซ่อมรถผู้เอาประกัน และบริษัทประกันก็เรียกร้องค่าเสียหายจากรถไอติม
- ประเด็นสอง ซ่อมรถผู้เอาประกัน และรับผิดชอบความเสียหายของรถไอติมทั้งหมด
ลักษณะเหตุที่สอบถามเข้าเงื่อนไขตามกรมธรรม์ข้อที่ 4 (ก) ผู้เอาประกันภัยจะต้องเสียค่าเงื่อนไข 1,000 บาทแรกของความเสียหาย อันมิได้เกิดจากการชนหรือคว่ำ หรือกรณีที่เกิดจากการชน แต่ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถแจ้งให้บริษัททราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้